นักวิชาการ จี้ ร้านขายยาเร่งปรับตัวรับ เออีซี มิเช่นนั้นจะถูกร้านยาต่างชาติกลืน ซ้ำรอยกิจการโชห่วยที่ถูกร้านสะดวกซื้อดูดลูกค้าไปหมด
เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการจัดอภิปรายในประเด็น "ผลกระทบเออีซีต่อผู้ประกอบการร้านขายยา" ภายใต้โครงการ "พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการร้านขายยาแห่งประเทศไทย"
โดย ภก.ดร.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี กรรมการอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) กำลังจะเปิดใน พ.ศ. 2558 แต่ธุรกิจร้านขายยาเป็นธุรกิจที่ยังไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐทุกกรณี จึงทำให้ทางรัฐมีข้อมูลเกี่ยวกับร้านยาที่ไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การเปิดเออีซี จะส่งผลกระทบต่อร้านขายยาในประเทศไทย 2 ส่วนด้วยกัน ดังนี้
1. ยาจากต่างประเทศจะถูกนำมาขายในไทยมากขึ้น ในราคาที่อาจจะเทียบเท่าหรือถูกกว่า เนื่องจากได้รับการละเว้นภาษีนำเข้า มีเพียงต้นทุนค่าขนส่งเท่านั้น ขณะที่ยาในประเทศต้องเสียภาษีนำเข้าวัตถุดิบและสารสำคัญของยาร้อยละ 2-5 อีกด้วย ทั้งนี้ การที่มียาไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น ทางร้านขายยาต้องมีหน้าที่คัดกรองยาที่จะนำมาขายเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องคุณภาพ ราคา ความปลอดภัย เป็นต้น
2. ร้านยาจากประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนจะมาเปิดแข่งกับร้านยาไทยมากขึ้นแม้ว่าตามกฎหมายไทยจะให้ชาวต่างชาติถือหุ้นในกิจการได้ร้อยละ 49 ก็ตามที แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีคนไทยถือหุ้นแทนกันได้ นอกจากนี้ยังมีร้านขายยาแบบแฟรนไชส์ ที่เป็นคู่แข่งขันร้านขายยาไทยอีก 1 รายด้วย ส่วนสาเหตุที่ต่างชาติเจาะตลาดร้านขายยาไทย เป็นเพราะคุ้มค้าและได้กำไรมากกว่าการส่งออกเพียงอย่างเดียว
ขณะที่ นายวิชัย อรุณรักษ์รัตนะ ประธานชมรมร้านยาแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเปิดเออีซีแล้ว แต่ร้านขายยาในไทยยังไม่มีการตื่นตัวในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลช่วยประชาสัมพันธ์เรื่องนี้อย่างเร่งด่วนด้วย มิเช่นนั้น ก็จะเกิดภาวะคล้ายคลึงกับร้านขายของชำ ร้านค้าปลีก ค่อย ๆ ปิดกิจการ เนื่องจากสู้ทุนจากต่างชาติไม่ไหว
นอกจากนี้ นายวิชัย ยังเสนอวิธีการรับมือของร้านขายยาไทยด้วยว่า ต้องรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น เพื่อเพิ่มอำนาจในการแข่งขัน เช่น เรื่องการพัฒนาร้านขายยาให้ได้มาตรฐาน รวมถึงการร่วมมือกันจัดซื้อยาให้ได้ราคาถูก เพื่อลดต้นทุน เนื่องจากปัจจุบันเป็นร้านยาเดี่ยว ต่างคนต่างซื้อ ไม่สามารถต่อรองราคาให้ถูกลงได้มากเท่าที่ควร ส่วนเรื่องร้านขายยาในไทย จะไปบุกตลาดต่างประเทศหรือไม่ คงยังไม่มีช่องทาง เพราะศักยภาพยังไม่เพียงพอ
วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556
ต่างชาติมองไทยน่าลงทุนที่สุดในอาเซียน - ข้อเสียคือการเมือง
โพล ชี้ ต่างชาติมองไทยน่าลงทุนที่สุดในอาเซียน ในปี 2556 นี้ เพราะมีทรัพยากรและนโยบายที่พร้อม แต่มีข้อเสีย คือ เสถียรภาพทางการเมืองและการทุจริตฉุดรั้งประเทศเอาไว้
วันนี้ (9 มกราคม) นางสาวปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยด้านนโยบายสาธารณะเพื่อกิจการอาเซียน สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง โอกาสและจุดแข็งของประเทศไทยต่อบรรยากาศการลงทุนในอาเซียน ปี 2556 ตามสายตาของชาวต่างชาติ โดยกลุ่มตัวอย่าง เป็นชาวต่างชาติที่มีความเข้าใจในประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนอย่างน้อย 5 ประเทศ โดยผลการสำรวจกล่าวโดยสรุปเป็นดังนี้
จากคำตอบของแบบสอบถาม นับ ได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศลำดับต้น ๆ ของอาเซียนที่ชาวต่างชาติมองเห็นโอกาสในการลงทุนปี 2556 เนื่องจากมีทรัพยากรที่พร้อมทั้งในด้านวัตถุดิบและกำลังคน มีนโยบายที่ดี เอื้อต่อการลงทุน แต่ข้อเสียของประเทศไทยที่สู้ประเทศอื่นในอาเซียนไม่ได้ คือ ความมีเสถียรภาพทางการเมืองและปัญหาการทุจริต
เมื่อประเทศไทยไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ผลัดเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย ๆ ทำให้นโยบายต่าง ๆ ที่วางไว้ไม่นิ่ง เป็นความเสี่ยงอย่างสูงตามสายตาของนักลงทุน ขณะที่ปัญหาการทุจริต หากประชาชนคนไทยไม่มีกำลังต้านมากพอ และปล่อยให้มีการทุจริตอย่างกว้างขวาง โอกาสที่ประเทศไทยจะพัฒนาไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ก็คงเป็นไปได้ยาก
นายกฯ ถกสุดยอดอาเซียน คุยเศรษฐกิจ เตรียมเข้า AEC
วันนี้ (20 พฤศจิกายน) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนไทย ถึงผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมอื่น ๆ ที่ประเทศกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 18-21 พฤศจิกายน มีใจความสำคัญดังนี้
ในประเด็นด้านเศรษฐกิจทุกประเทศเห็นว่า ควรร่วมกันผลักดันการค้าเสรีที่เป็นธรรมแก่ทุกประเทศ แม้ว่าแต่ละประเทศอยากจะให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเติบโต ก็ต้องให้ความสำคัญแก่โครงสร้างพื้นฐานของแต่ละประเทศด้วยเช่นกัน รวมถึงกฎระเบียบต่าง ๆ ของการค้าตามแนวชายแดน เพื่อทำให้ประเทศเราและเพื่อนบ้านสามารถเติบโตควบคู่กันได้ ซึ่งการประชุมครั้งนี้ จะเป็นการตรวจความพร้อมของทุกฝ่ายว่า มีสิ่งใดที่แต่ละประเทศยังขาด ก่อนเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พ.ศ. 2558
นอกจากนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ยังได้ประชุมตรวจความพร้อมในการรองรับภัยพิบัติของอาเซียนด้วย โดยจะเน้นถึงวิธีการรับมือและการสำรองอาหาร ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการพูดคุยถึงการแก้ปัญหาความสงบในแต่ละภูมิภาค ที่จะต้องตั้งกฎต่าง ๆ เป็นกติกาในการทำงานร่วมกันภายหลัง แต่ถึงอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนพอใจในภาพรวมของการประชุม เนื่องจากที่ผ่านมาเห็นการเติบโตเศรษฐกิจของไทยแบบยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ก็ต้องเร่งเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการค้า การลงทุนระหว่างอาเซียนด้วยกันเองด้วย เพื่อทำให้ภูมิภาคเกิดความแข็งแรงและยั่งยืนต่อไป ควบคู่ไปกับการพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ จีน อินเดีย ไปด้วย
นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อาเซียนกับจีน มีความเห็นตรงกันที่จะปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือทางทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นเรื่องของกรอบความร่วมมือการเดินเรือ เพื่อทำให้เกิดการค้าการลงทุนแบบยั่งยืน
วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556
อาเซียน
ยินดีต้อนรับสู่อาเซียน
"One Vision, One Identity, One Community"
หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม
หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)